วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

จงซ่อมแซมของใช้ แล้วปล่อย กล้าไม้ให้เติบโต

Unsplash / Pixabay
บทความนี้ มีความลับ
จากประโยคดีๆ สองบรรทัดข้างล่างนี้มาบอกกันค่ะ
เรื่องของเครื่องยนต์กลไก เราใช้ "แรง"
เรื่องของ จิตใจ ขอให้ใช้ "รัก"
จงซ่อมแซมของใช้....แล้วปล่อยกล้าไม้ให้เติบโต
เคยไหมคะ ?
หลายครั้งความเที่ยงตรงและหน้าที่รับผิดชอบในการทำงาน กลับทำให้เรากลายเป็นคนที่ชอบควบคุมทุกสิ่งอย่างรอบตัว บางครั้ง ก็ดูก้าวร้าว ด้วยความที่ต้องการให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด กลายเป็นอาการวีน เหวี่ยงกับ ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน ที่ไม่ได้ดังใจ แม้แต่เรื่องความสัมพันธ์รอบตัว ที่มีหลายอย่าง สร้างความไม่เข้าใจ ไม่ถูกใจ เพราะคนใกล้ ๆ ไม่รู้ใจ... ปรับจูนยังไงก็ไม่ได้ความ
เคล็ดลับการดูแล ความสัมพันธ์ และ ดูแลจิตใจของคนที่เราใกล้ชิด อยู่ในนิทานสอนใจเรื่องนี้ค่ะ...

 揠苗助长 ย่าเหมียวจู้จ่าง ( ดึงต้นกล้าให้โต )

กาลครั้งหนึ่งเมื่อย่างเข้าฤดูหว่านไถ มีชาวนารัฐซ่งผู้หนึ่งที่มีนิสัยใจร้อน
ภายหลังหว่านกล้าลงนาเรียบร้อย เขาก็เฝ้ารอคอย
โดยหวังว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็วๆ
ดังนั้น ทุกๆวันเขาจะไปนั่งที่ทุ่งนา
และเฝ้าคิดว่าเหตุใดต้นกล้าเหล่านี้จึงเติบโตช้าเหลือเกิน
จนอดรนทนไม่ไหวเขาจึงพยายามขบคิดหาวิธีการที่จะทำให้ต้นกล้าโตเร็วกว่าเดิม
สุดท้ายจึงคิด ‘วิธีที่ดีที่สุด’ ออกมาได้
นั่นคือใช้มือดึงให้ต้นกล้าโผล่พ้นดินขึ้นมามากขึ้น !!
ซึ่งเมื่อมองดูจะดูคล้ายต้นกล้าเติบโตและสูงขึ้นกว่าที่เป็น
หลังจากปฏิบัติการตามวิธีที่คิดได้มาทั้งวัน จนเสร็จสิ้น
เขาพอใจผลงานของตนเองเป็นอันมาก จึงเดินทางกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
และเมื่อถึงบ้าน เขาจึงเล่าให้คนในครอบครัวฟังว่า
"วันนี้ข้าทำงานเหนื่อยเหลือเกินแต่ก็คุ้มค่าเพราะช่วยทำให้ต้นข้าวโตเร็วขึ้นมาอีกหลายข้อเลย "
เมื่อบุตรชายของเขาได้ฟัง ก็รีบวิ่งไปที่ทุ่งนาเพื่อดูผลงานของผู้เป็นบิดา
แต่ทว่า...สิ่งที่พบคือต้นกล้าที่พากันเหี่ยวเฉา
และ ล้มตาย อยู่เต็มท้องทุ่ง !! …

การซ่อมแซมของใช้

เรายิ่งลงแรงซ่อมเร็วเท่าไหร่ ยิ่งกลับมาใช้งานใหม่ได้ไวเท่านั้น  แต่การดูแลความสัมพันธ์ แทบทุกครั้งต้องใช้เวลา  ช้าลงสักหน่อย ...อย่าพูด หรือ ปล่อยให้ตัวเราทำอะไรลงไป  ตอนที่จิตใจกำลัง ร้อนรุ่ม...
ในโลกนี้ ประกอบขึ้นด้วย สิ่งมีชีวิต และ สิ่งไม่มีชีวิต
สิ่งของ เครื่องใช้ พัง เราใช้กำลัง ซ่อมแซม ได้
แต่ถ้าเราอยากให้ต้นกล้าเติบโตไว เหมือนในนิทานเรื่อง 揠苗助长
การใช้กำลังดึงมันขึ้นมาแล้ว ตะโกนว่า
"เฮ้ย! ไอ้พวก(ต้น)อ่อน โตให้ไวๆ เสะ !! "
จะทำให้มันตกใจ ตายทันที +o+
กับสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งอย่าง การบังคับหรือใช้กำลัง
เพื่อให้เป็นไปตามที่ใจเราต้องการ ไม่เคยใช้ได้ผล
การบังคับใจ คน อาจทำให้เราได้ ในสิ่งที่ต้องการตอนนี้
แต่ไม่เคยเกิดเป็นผลดีระยะยาว
ถ้าอยากให้ต้นกล้า เติบโต และงดงาม ดีที่สุดคือ การสร้างสภาพแวดล้อม และเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย จากนั้นก็เพียง ‘ปล่อยไป’  ให้กล้าไม้เติบใหญ่ตามธรรมชาติ
กับใครสักคนที่เรารัก และอยากได้รักตอบ หรือแม้แต่ คนที่เราต้องอยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกันทุกวัน เราไม่มีทางบังคับจิตใจเขาได้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็น พี่น้อง พ่อ แม่ของเรา ลูกของเราเพื่อนร่วมงาน หรือคนรักของเราก็ด้วย
ความรักก็เหมือน กล้าไม้ ยิ่งบังคับ ยิ่งไม่มีทางเกิดขึ้น
คำว่า ‘ตกหลุมรัก’ เกิดจาก การที่ใครคนหนึ่ง สมัครใจเดินตกลงไปเองไม่ได้เกิดจากการที่เราใช้เรี่ยวแรง ‘ ถีบ’ ใครสักคนให้หล่นลงไป
ดังนั้น สิ่งเดียวที่เราทำได้สำหรับ การดูแลความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมีชีวิต ก็คือการ ‘ ดูแลปัจจัยที่เหมาะสม ’ สำหรับให้ความรักงอกงาม เอาใจใส่ ห่วงใย ให้อภัย ให้เวลา มอบความสุข ความอบอุ่น หมั่นให้ รอยยิ้ม ความจริงใจ
จากนั้นเราก็ทำได้เพียง ' ปล่อย ' ให้ความรักเติบโต งดงามตามธรรมชาติ
ไม่ต่างกันเลย การปลูกต้นไม้ หรือ การดูแลสิ่งมีชีวิตใดๆ ในโลก
เมื่อรู้ ความลับง่ายๆ ข้อนี้กันแล้ว
ก็ขอให้ทุกๆท่าน มีความสุข กับทุกๆ ความสัมพันธ์ รอบๆตัวค่ะ :)
เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์ ( 吴美心)

จุดตัดความสำเร็จ ศาสตร์ NLP และ The Secrets of millionaire mind

ท่าน ติชนัทฮันห์ พระอาจารย์เซน เคยกล่าวในหนังสือ ‘ Understanding Our Mind ’ ไว้ว่า  จิตใต้สำนึก ของคนเรานั้น เป็นเหมือนสวนขนาดใหญ่  ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ มากมาย ทั้งดี ร้าย
  • เมล็ดพันธุ์ ที่มีประโยชน์ เช่น ความเบิกบาน ความรัก  ความนอบน้อมถ่อมตน ความศรัทธาในความดีงาม  
  • เมล็ดพันธุ์ที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น ความโกรธ ความกลัว ความไม่รู้ ความทะนงตน  เมล็ดพันธ์ แบบไหนจะเติบโตได้ดี ก็ขึ้นอยู่กับการคิด การพูด การกระทำของคน ๆ นั้น
โดยที่จิตสำนึกของเราเป็นเหมือนคนสวน  ถ้าคนสวนรดน้ำพรวนดิน ให้ปุ๋ยดูแลเมล็ดพันธุ์ ที่มีประโยชน์  และ คอยกำจัดเมล็ดพันธุ์ ที่ไม่เป็นประโยชน์  สวนในจิตใจเรา ก็จะมีแต่ความสุข
และหากเราสามารถ ปลูกแผนผังทางการเงิน ที่ถูกต้อง หรือ Money Blueprint  ลงไปในจิตใต้สำนึกของเรา เหมือนดังที่ T Harv Eker เจ้าของหนังสือ ในตำนาน  The Secrets of millionaire mind  เคยกล่าว วลี ที่คล้ายๆ กับทางศาสนาเอาไว้ว่า
"ไม่มีสิ่งใดมีความหมาย มากกว่าความหมาย ที่คุณมอบให้มัน ถ้าคุณอยากจะประสบความสำเร็จ ในชีวิตจริงๆ ก็จงอย่าเชื่อสักคำที่ตัวคุณเองพูด และถ้าคุณอยากจะรู้แจ้งในทันที ก็จงอย่าเชื่อสักอย่างที่คุณคิด"
นั่นก็เพราะ ความคิด ไม่มีอยู่จริง !  ส่วนใหญ่แล้ว ความคิดมาจากการประมวลผลอดีต  และอดีต คือภาพมายา ที่ผ่านไปไม่กลับมาอีกแล้ว  ดังนั้น จงคิด (Program สมอง) ให้รู้สึก  รู้สึก จนอยากจะ ลงมือทำอะไรบางอย่าง  แล้ว มองเห็น(จินตนาการ) ไปถึง ผลลัพธ์ที่จะเกิดได้เลย
ความคิด >>> ความรู้สึก >>> การกระทำ >>> ผลลัพธ์
ซึ่งวิธีบรรจุ โปรแกรมความคิด ทั้ง 17 ชุด เพื่อให้บรรลุถึงข้อมูลแห่งความมั่งคั่ง  ได้รับการถ่ายทอดไว้แล้ว ในหนังสือ The Secrets of millionaire mind โดย T Harv Eker
ผู้เขียน อ่านหนังสือ เล่มนี้จบมากกว่า 1 รอบ  พบว่า นี่คือขุมทรัพย์สำคัญสำหรับการปรับ mind set  และ ได้ศึกษาถึง ศาสตร์ ของการโปรแกรมจิตใต้สำนึก (NLP) มาบ้าง  
เห็นว่า มีหลายส่วน ที่มาจากแก่น หรือ รากเดียวกัน  ซึ่งหาก ผู้ใด สามารถ จับจุดตรงนี้ได้  สามารถ ที่จะสร้าง Money Blueprint  (แผนผังทางการเงิน) ที่ถูกต้อง ให้เกิดได้ในระดับจิตใต้สำนึก  ก็จะทำให้เรา มีความเป็นธรรมชาติ  หรือที่เรียกว่า "สัมผัสแห่งไมดาส" คือ จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง  หรือ เป็นไปตามที่ตั้งใจหวังไว้ ทุกสิ่ง
ขอยกความเชื่อมโยงกันระหว่าง ศาสตร์  NLP และ  The Secrets of millionaire mind มาไว้ดังนี้ค่ะ
รากก่อให้เกิดผล สิ่งที่อยู่ใต้พื้นดิน สร้างสิ่งที่เห็นได้บนพื้นดิน ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงผลไม้ คุณต้องเปลี่ยนที่รากไม้ ถ้าคุณอยากแก้ สิ่งที่คุณมองเห็น คุณต้องเริ่มแก้จากสิ่งที่คุณมองไม่เห็น ถ้าคุณอยาก แก้ไขสิ่งพิมพ์ บนกระดาษ อย่าใช้ยางลบ ลบ ให้ไปแก้ที่โปรแกรม
คนส่วนใหญ่ ยังไร้สติ พวกเขาทำงาน แบบกงล้อที่หมุนไปเรื่อย ๆ คิดถึงชีวิต แค่ระดับผิวเผิน โดยพิจารณาแค่สิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น จงตัดสินใจเลือก แบบรู้ตัว ให้ได้ทุกครั้ง (มากครั้งที่สุด) ในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรู้สึก อยากอาหารชนิดไหน (ร่างกายจะบอกคุณเอง ว่า ช่วงนี่ร้อนข้างใน ไม่ควรกินอาหารเผ็ดหรือ ช่วงนี้ควรทาน ผัก ผลไม้ วิตามิน ให้มากขึ้น)
การใช้ชีวิต การตกลงรับงาน การรับรู้ถึงความต้องการที่จริงแท้  เมื่อเรามีสติ เราจะดำเนินชีวิตตามตัวตนที่แท้จริง ในปัจจุบัน ไม่ตามใคร และ ไม่เหมือนในอดีต เมื่อเรา กำจัด ความโกรธ ความกลัว และ ความต้องการที่จะพิสูจน์ตนเองออกไป จากแรงขับในการหาเงิน เราจะมีความสุข มีความต้องการช่วยผู้อื่นเข้ามาแทน เมื่อนั้น เราจะเก็บเงินอยู่ ไม่เสียมันไปอีกเลย...นี่คือการลงทุนที่แท้จริง
เลือกที่จะไม่สนับสนุนความคิด ที่ไม่มอบพลัง ให้แก่คุณ อย่าคิดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ เช่น เมื่อคุณอยากลดความอ้วน อย่า FOCUS ไปที่คำว่า ‘อ้วน’ เนื่อง จากจิตใต้สำนึก  จะแสดง และบันทึกภาพจากทุกความคิดของคุณ
เมื่อคุณจะปฏิเสธ หรือลืม สิ่งใด คุณมักจะมีภาพนั้นเข้ามาก่อน เช่่นลองคิดคำว่า ฉันไม่เอา ข้าวขาหมู >>> ข้าวขาหมูลอยมาทันใด ! ให้ FOCUS ไปที่คำว่า รูปร่างดี หุ่นงาม   มีกล้ามเนื้อน่ามอง คิดไปถึงเสื้อผ้าใหม่ที่จะใส่เลยก็ได้ แต่ อย่าไปนึกถึง อาหารที่ทำให้อ้วนเช่น ฉันจะไม่กิน น่องไก่ทอด ข้าวมันไก่น้ำจิ้มรสเด็ด ช๊อคโกแลตฟองดู ( พอจะเห็นภาพ กันเลยมั้ยคะ ไม่เอาๆ จะยิ่งหิวนะ J )
**สิ่งที่คุณให้ความสนใจ จะเพิ่มขยายผล ** นี่คือกฎของแรงดึงดูด
คนที่สำเร็จ กุมชะตาชีวิตของตนเอง ( โปรแกรมสมองตัวเอง ) ในขณะที่ คนทั่วไป มักคิดว่า ฉันถูกลิขิตให้เป็นเช่นนั้น จงอย่าเป็นผู้ถูกกระทำโดยสมยอม สิ่งสำคัญที่ ต้องตั้งไว้ในสมองให้ได้เลยก็คือ "คุณจะดำเนินชีวิต ไปตามเรื่องราวที่คุณแต่งขึ้นเอง" มันต้องได้ผลแน่ๆ เพราะ คุณจะทำให้มันได้ผล
In the end .
People will Judge you anyway.
Don't live you live impressing others.
Live your life impressing yourself.
>> Eunice Camacho
ขอให้ทุกท่านโชคดี ในการค้นพบจุดตัดของตนเองค่ะ :)

Pyro Marketing ไฟลามทุ่งจากไม้ขีดก้านเดียว

Pyro Marketing
Image credit : pixabay
สวัสดีค่ะ
ท่านเจ้าของกิจการเล็กใหญ่ หรือฝ่ายการตลาดทั้งหลาย
เคยเจอปัญหานี้กันบ้างหรือไม่
ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย
การต่อสู้ด้วยสงครามราคา แสนเหนื่อยหน่าย นับวันมีแต่จะถอยหลังลงคู
เราจะจัดการอย่างไรกับความไม่แน่นอนของผู้ซื้อ?
งบที่มีอยู่ หมดไปกับการ สต็อคสินค้า
การจ้างพนักงานขาย
การให้เครดิตกับลูกค้ารายใหญ่ และอื่นๆอีกมากมาย
แล้วเงินที่จะใช้ ทำโฆษณา การตลาดจะตัดมาจากส่วนไหน ?
ในบางขณะ ที่ผู้บริหารเห็นว่างบการตลาดคือรายจ่าย ?
บทความก่อนจบปี พ.ศ.2558 นี้
ขอมอบให้เป็นของขวัญสำหรับผู้ประกอบการ ทุกท่าน
ที่ต้องการขยายตลาดที่มีอยู่ให้กว้างขวาง โดยที่มีเงินทุนจำกัด
ชื่อหลักการว่า
Branding with Pyro marketing 
การตลาดแบบไม้ขีดก้านเดียว
ครั้งแรกที่ได้พบหลักการนี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จากบทความของนิตยสาร Forbes
( อันที่จริงมี Text book ออกมาก่อนหน้านี้ หลายปีแล้วค่ะ )
โดยสะดุดตากับ ประโยคคำถาม โดนใจที่ว่า
How do you reach today’s fickle customers?
When budgets are tight?
When your CFO sees marketing as a cost?
สามข้อนี้ ถือเป็นปัญหาปวดหัว ของทั้งมือใหม่ มือเก๋า
และผู้ดูแลการตลาดในทุกๆสินค้าก็ว่าได้ จริงไหมคะ
หลักการของ Pyro marketing มีกลยุทธ์ง่ายๆ
ที่ใช้งานได้จริงเพียงสี่ขั้นตอน
ซึ่งได้ทดลงใช้กับการจำหน่าย ชาอาร์ติโช๊ค โดยเราขายออนไลน์ ผ่าน ทาง FB และ Website เป็นหลัก
http://www.artichoke-tea.com/
แล้วปรากฏว่าสามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นถึง 30% จากต้นปี
โดยจำกัดการลงทุนไม่ให้เกิน 5% ของ marginal cost
หลักการมีดังนี้ค่ะ

1. Gather the driest tinder    หากิ่งไม้แห้งที่เป็นเชื้อไฟชั้นดี

จากการตั้งคำถามที่ว่า Who need your product now ?
พับเก็บหลักการของ mass market ที่ใช้งบโฆษณาเกินตัว
ที่เปรียบเหมือน การหว่านไฟใส่กิ่งไม้ใหญ่ที่ยังสดใหม่
ไม่พร้อมติดเชื้อไฟใดๆ ลงไปก่อน
แล้วหาให้เจอว่า
กลุ่มคนเล็กๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้สินค้าของเราแน่ๆ คือใคร
ยกตัวอย่างเช่น ผู้เขียนทำธุรกิจจำหน่ายชาอาร์ติโช๊ค
ซึ่ง สรรพคุณหลักของชาตัวนี้คือ การบำรุง และ Detox ตับ
ดังนั้น กลุ่มคนที่มีความต้องการ เป็นอันดับต้นๆ ก็คือ
ผู้ที่รู้สึก ปวดตับ (ล้อเล่นค่ะ :) )
คือ ผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะ กระบวนการกำจัดของเสียในร่างกาย ตับ ไต ถุงน้ำดี ดังนั้นกิ่งไม้แห้งของสินค้าตัวนี้ ก็คือ
*เว็ปบอร์ด เว็ปไซต์ต่างๆ ที่มีการพูดถึงด้านสุขภาพ
*ญาติพี่น้อง หรือ เพื่อนฝูง ที่มีแนวโน้มว่าจะ มีอาการเกี่ยวกับตับ
*ผู้ป่วยโรคตับ ที่มีข้อมูลจากทางโรงพยาบาล

2. Touch it with the match จุดไฟด้วยไม้ขีดเพียงก้านเดียว

“Give [people] an experience with your product or service.”
ในที่นี้ อาจหมายถึงการมอบประสบการณ์พิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ราคา การสร้างกิจกรรม
มอบของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ หรือการตั้งตัวแทนขาย เฉพาะกลุ่มนี้
การให้ไปก่อน เหมือนกวักน้ำออกจากตัว
กวักน้ำออกไปมากเท่าไหร่ไม่นานกระแสน้ำก็จะไหลวนกลับมาค่ะ
สำหรับบริการสามกลุ่มพิเศษของ ชาอาร์ติโช๊ค ก็คือ เราแจกค่ะ !!!
และพบว่า มีการซื้อซ้ำถึง 80% ซึ่งถือว่า เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้

3 Fan the flames. พัดไฟให้ลามทุ่ง

ในที่นี้ คือการโปรโมทข้อมูลผ่าน กลุ่มก้านไม้ขีดที่เราได้สร้างพันธมิตรเอาไว้แล้ว
อาจโดยการ ฝากข่าวทำโปรโมชันมีจ่ายค่าแนะนำ
หรือการจำหน่ายลักษณะ เป็นของขวัญพิเศษวันพ่อ วันปีใหม่
เป็นโชคดีที่เราอยู่ในยุคของสื่อออนไลน์ ที่ง่าย ฟรี และ รวดเร็ว
กระแสบอกต่อ สร้างปรากฏการณ์ทำลายสถิติใหม่ มีให้เห็นอย่างเสมอๆ
เมื่อมั่นใจว่า เรามีสินค้าที่ดี มีราคาที่เหมาะสมกับตลาด
สร้าง Story ที่น่าสนใจเพื่อเพิ่มมูลค่าอีกสักนิด
ขั้นตอนนี้ จะทำให้การเข้าถึงกล่มคนส่วนใหญ่ ไวไฟ ด้วย Wifi
จนกลายเป็น ไฟลามทุ่งได้ในไม่ช้าค่ะ :)

4 Save the coals. เก็บรักษาเถ้าถ่าน (ข้อมูล)

Keep a database of your customers.
Then you won’t have to start the next marketing campaign from scratch.
ในยุคของสงครามข้อมูล การสร้างฐานลูกค้าเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
ใครที่เคยเป็นลูกค้ากับเรา ไม่ว่าจะน้อยมาก หน้าที่ของเราคือ เก็บข้อมูลไว้ให้ครบค่ะ
ทั้ง Email ,ID Line ,เบอร์โทร จัดไว้ให้เป็นระเบียบ สะดวกใช้งาน
เผื่อไว้สำหรับการทำโปรโมชั่น ในครั้งหน้า หรือเพื่อหาค่าทางสถิติ ต่างๆ
ไม่แน่ว่า หากเรามีฐานข้อมูลมากพอ ต่อไปในอนาคต
ข้อมูลสำคัญทางการค้าเหล่านี้ จะมีผู้เสนอราคาซื้อ ก็เป็นไปได้ค่ะ !
:) หวังว่า บทความนี้ จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีทรัพยากรจำกัด
หรือผู้ประกอบการที่เพิ่งเริ่มลงทุน ได้นำไปปรับใช้ให้ไฟ (ลูกค้า) ลามทั่วทุ่ง
ในปีใหม่ 2559 ที่จะมาถึงนี้นะคะ
สุขสันต์วันปีใหม่ล่วงหน้าค่ะ :)
เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์
อ้างอิงบทความจาก
http://www.slideshare.net/NashvilleAMA/greg-stielstra-pyro-marketingoverview
ข้อมูลชาอาร์ติโช๊ค
http://www.artichoke-tea.com

ข้อคิดเล็ก ๆ ก่อนนำเข้าสินค้าจีน

container-ship-596083_640
มีเพื่อนๆ หลายคนมาปรึกษา เรื่องการนำเข้าสินค้าจากจีน
ผู้เขียน ขออนุญาต บอกเล่าตามตรงว่า...
สมัยนี้ การไปเดินตลาดค้าส่งที่กว่างโจว (广州) ง่ายเหมือนปอกกล้วย
สินค้า หลายๆสิ่งที่เราเห็นว่า ดีงาม ถูกมากกกก
เรามักคิดกันง่ายๆว่า ซื้อมาก่อน สต๊อกไว้ก่อน แล้วค่อยหาทางมาปล่อย
( บางทีโดนไกด์ หรือ อาเจ้ อาเฮีย ในตลาด เชียร์ซื้อแบบยัดใส่มือ ...ได้ของมา
แบบมึนๆ หรือ ให้ส่งตามหลังมา พอมาเห็นของที่เมืองไทย แล้ว
ลมจับ...จะเพราะได้ของผิดแบบ มี defect บานตะเกียง
หรือคาดไม่ถึงว่า ตอนนั้นตรูซื้อมาได้ไง.....??
อย่าลืมว่า คุณกำลังตกอยู่ในวงล้อม ของมนุษย์เจ้ !! ที่ขายของเก่งที่สุดในโลก
และ คุณอาจเป็นเพียงคนไทยตาดำๆ ที่มีความขี้เกรงใจ ฝังอยู่ในโครโมโซม )
** ใครจะ OEM สินค้าจีน หรือซื้อมาขายไปง่ายๆ
.....ขอให้ตั้งสติ ให้ดีค่ะ ข้อมูลต้องแน่นจริงๆ !!
อย่ามองแต่ กลุ่มลูกค้านะคะ
** เช็คราคา ในเว็ป ขายของบ้านเราก่อน ทุกครั้งค่ะ !
ไม่ต้องไปเดินเช็คตาม สำเพ็ง พาหุรัด ให้เสียเวลานะ
ยุคนี้ ของในเวป ราคาถูกกว่า บางทีแซงไป หลายช่วงตัว
** อย่าลืมอีกอย่างว่า
คนจีนในไทย รุ่นอากง อาม่า เค้ามีคอนเนคชันส่วนตัว
กับตลาด กว่างโจว ในแทบจะทุกสินค้าที่คุณจะคิดออก
ก่อนที่คุณจะเรียนจบ ประถมเสียอีก
- อย่างในภาพ ( ตามลิงค์ด้านล่าง )
เครื่องดูดฝุ่นในรถ ลดเหลือ 258 บาท ราคาปกติ 2,580 บาท,
ประหยัดทันที 90% มีแถมถุงมือ อีก!!
** การนำเข้ามา นั้นง่าย
......แต่การปล่อยของออกไป สำคัญที่สุด
ทางที่ดี ทำยังไงก็ได้
ให้มีลูกค้าก่อน แล้วค่อยสั่งซื้อ เผื่อเซฟตี้แฟคเตอร์ไว้เยอะๆค่ะ
ถ้ายังไม่มีลูกค้า อย่าวู่วาม ซื้อของมาสต๊อคไว้บานปลาย ++
ด้วยความปรารถนาดี
ในยุคที่ เศรษฐกิจเหมือนจะดูดี ( แต่อย่าดูลึกๆนะ )

เว้นวรรคเพื่อสมาธิ คืนชีวิตสู่สมดุลย์



ลึกเข้าไปกลาง ซอยสุขุมวิท 66
ท่ามกลาง ความวุ่นวาย ใจกลางเมืองหลวง ฉันมาเริ่มต้นวันใหม่ ด้วยกาแฟ อเมริกาโน ร้อน ๆ บรรยากาศโดยรอบเป็นสวนร่มครื้ม จัดแบบ English Cottage มีเสียงนกร้องเบา ๆ ฉันเลือกนั่งในโซน Out door กลางสวน สูดกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ เข้าเต็มปอด
ปิดอินเตอร์เน็ต ปิดเรื่องราว ที่รอจัดการทั้งหลายไว้สัก 2 ชั่วโมง อยู่กับตัวเอง เอาเท้าไปเหยียบหญ้าบ้าง มองท้องฟ้าสักนิด แล้วคว้ากระดาษกับพู่กันจีน ขึ้นมา วาดอะไรสักอย่างลงไป ... เพื่อลองสังเกต ความรู้สึก และลมหายใจของเราเอง
นี่คือวันพิเศษ !
(วันธรรมดา ก็เหมือนมนุษย์ทำงานบ้าน ๆ ทั่วไปล่ะค่ะ)
ในหนึ่งเดือนเราควรมีวันแบบนี้ สักหนึ่งครั้ง ที่จะให้รางวัล สำหรับการทำงาน ด้วยการสร้างสมาธิ
นั่งลงทบทวนดูว่า มีอะไรสำคัญ ที่เราหลงลืมไปหรือเปล่า ในระหว่างเส้นทาง Hi Speed สายนี้ สังคมของการทำงานแบบทุนนิยม ยกย่อง ส่งเสริมให้ ทุกคนมีแรงผลักดันในตัวเองสูงๆ รวมถึง จัดการเวลาให้รวดเร็วที่สุด
เพื่อมาขับเคลื่อนองค์กร หลายครั้ง หากเรารู้ไม่เท่าทัน แรงผลักดัน อาจกลายเป็น แรงกดดัน ความรวดเร็ว จะกลายมาเป็น ความเร่งรีบ และจะยิ่งน่ากลัว หากมองเห็นความกดดัน เร่งรีบ ที่ผิดปรกตินั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เค้าก็ทำกัน !
มันจะทำให้เรา เคยชิน และ ติดยึด กับความผิดปรกตินั้น โดยไม่รู้ตัว... ลืมไปหรือยังคะ ว่าตอนเด็กๆ เคยมีความสุขได้ง่ายขนาดไหน?
Unsplash / Pixabay
แล้ววันนี้ล่ะ ?
มันเป็นเพราะอะไรกันนะ ?
เวลาที่เราติดยึด กับอะไร มันคือสภาพจิตใจที่ไม่เป็นอิสระ...
เหมือนเวลาที่เราสายตาสั้นลงเรื่อย ๆ 100 ...200.... 800........เราชินกับมัน
จนเราลืมไปแล้วว่า วันที่สายตาปรกติชัดแจ๋ว มันเป็นยังไงกันนะ ?
ข่าวดีที่ฉันคิดว่า ใช่ก็คือ...
ชีวิตเราสามารถกลับไปชัดแจ๋วได้ โดยไม่ต้องพึ่งแว่นสายตาที่ใส่ภายนอก นั่นก็คือ ต้องตื่นขึ้นมาสู่ความปรกติ ที่เราเคยมีมาให้ได้ แล้วจิตใจและร่างกาย จะพบกับความสดใสอีกครั้ง
Make your mind Free
in order to welcome Real things coming to you all the time
>> The Matrix 1999

คำถามคือ ทำอย่างไร ?

คนที่เคยวิ่งเร็วมาก ๆ เวลาที่จะเข้าสู่สภาวะที่จะหยุดได้ ก็ควรค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง จากวิ่งเร็ว เป็นวิ่งเหยาะ ๆ มาเป็นเดิน แล้วค่อย ๆ ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง... (เคยวิ่งเร็วมาก ๆ แล้ว หยุดทันทีไหมคะ ..หัวจะทิ่ม เอาง่าย ๆ นะ)
ผู้บริหาร และนักลุงทุน มืออาชีพหลายท่าน ล้วนเข้าใจในความจริงข้อนี้ จึงยกให้ การเจริญสติ เป็นงานหลักของชีวิต ! สำหรับฉันเอง หรือพวกเราที่ยังไม่อาจเข้าถึง ความลึกซึ้งในระดับนั้น ก็สามารถ เข้าถึงความสงบ ในระดับที่ยังอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
  • หลายคน เจริญสติ ผ่านการฝึกโยคะ (ซึ่งเป็นมากกว่า Performance Art)
  • หลายคน เข้าคอร์ส ปฎิบัติธรรม
  • หลายคนแค่ ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ในห้องที่เงียบสงบ
  • หลายคน ฝึกสติผ่านกิจกรรม ขี่ม้า ยิงธนู กระทั่ง ออกเดินทางลำพัง
  • อีกหลายคน เจริญสติผ่านการทำงานบ้าน !
วันนี้ ขออนุญาต เล่าย้อนไป ในวันที่ฉันเข้าใจ สภาวะสุขสงบที่เรียกว่า "สมาธิ" จากการ "เขียนพู่กันจีน" ค่ะ
ฉันรู้จักสภาวะของ "สมาธิ" เป็นครั้งแรก ตอนเรียนอยู่ ป.4- ป.5 จากการที่ อาม่า ( คำเรียก คุณย่าในภาษาจีน ) "จ้าง" บ้าง "หลอกล่อ" บ้าง ให้ฉันช่วยคัดลอกบทสวดมนต์ภาษาจีน(คนจีนแต้จิ๋วเรียกว่า เก็ง) เพราะว่า ตัวหนังสือในนั้นช่างเล็กมาก อาม่าแก่แล้ว ตามองไม่ค่อยเห็น
ตลอดช่วงปิดเทอมใหญ่ ฉันนั่งคัดลายมือภาษาจีน แทบทุกวัน ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่สนุกเลย สำหรับเด็กเล็กๆ แต่เพราะว่า อาม่า ชอบทำตัวน่าสงสาร และ แถมมีสตางค์ มีของเล่น มาหลอกล่อตลอด ฉันก็เลยอดทนทำไป บ่นบ้าง งอนบ้าง ตามประสาเด็ก
แต่ก็ยังทำไปตลอด…
เขียนไปเรื่อย ๆ ทุกๆ วัน
สุข ก็ทำ ทุกข์ ก็ทำ
(ภาษาทางธรรมเรียกว่า อุเบกขา หรือ การวางเฉย / เพิ่งมาทราบตอนโต)
จนในที่สุด เมื่อจิตนิ่งเข้าไป ในตัวหนังสือแต่ละตัว ใจก็สงบ และมีความสุข อย่างประหลาด
ตอนนั้น ฉันยังเด็กมาก อธิบายอะไรไม่กระจ่างนัก รู้แต่ว่า พอจำสภาวะได้แล้ว หลังจากนั้น ไม่ว่าจะต้องทำเรื่องอะไร จะยาก จะง่าย จะเกลียด จะชอบ แค่ไหน ถ้ามัน จำเป็น ฉันก็แค่ ทำไปเรื่อยๆ
เพราะมั่นใจแล้วว่า ถ้าจิตและใจ นั้นนิ่งกับสิ่งนั้นๆ ไปเรื่อยๆ อีกสักพัก สภาวะ สุข สงบ แบบนั้น ก็ต้องมาอีกแน่ ๆ หรือที่เค้าเรียก กันว่า สมาธิ นั่นล่ะ และ นี่ก็คือ "หัวใจ" ของการเรียน และคือ หัวใจ ของการปลุกปั้นงานสำคัญ ให้สำเร็จ เลยทีเดียว!
ฉันเพิ่งมารู้ซึ้งในภายหลังว่า อาม่าของ ตัวเองมีจิตวิทยาสูงมาก ที่สอน สมถะกรรมฐานทางอ้อม ให้แก่เด็กตัวเล็ก ๆ ให้ได้รับไปโดยไม่รู้ตัว
ต่อมาอีกไม่นาน พอฉันเริ่มหัดเขียนพู่กันจีน อาม่า ก็มาอ้อนให้เขียน ลอก จาก บทสวดอีกตามเคย (อ้างว่า ตัวพิมพ์มันแข็งทื่อ ไม่สวยเลย อาม่าไม่ชอบเลย)
ถ้าใคร ที่เคยลองหัดเขียนภาษาจีน หรือ วาดรูปด้วยพู่กันจีน จะเข้าใจได้ดี ว่าความใจร้อน หงุดหงิด ของเรา มักจะฟ้องออกมาที่ลายเส้น
และที่โหดร้าย ก็คือ มันลบไม่ได้ !!
ผิดแล้วก็ต้องเริ่มต้นทำใหม่หมด เขียนมาดีๆ ทั้งหน้า แต่ถ้ามาเขียนเลอะเทอะ เขียนซึมเอาตัวสุดท้าย .. ก็จบกัน
สิ่งนี้ เป็นกระจกสะท้อนให้เห็น จิตใจ ของเรา ว่า ขณะนั้นเป็นอย่างไร …พลุ่งพล่านแค่ไหน หยาบกระด้าง หรือละเอียดพอแล้ว
พอโตขึ้น เวลาที่ฉันอยู่ในสภาพ ที่ งง เบลอ จิตใจสับสนไม่มั่นคง ถ้าไม่ลืม ก็จะหยิบ พู่กัน กระดาษ และ น้ำหมึก ออกมา แล้วก็ ละเลง ลงไป … เดี๋ยว ก็เห็นเองล่ะ "จิตใจ" ของเรา
不要向你的身外觅求真理,
因为真理就在你的身体里面,
此外无处可觅。
อย่าหาสัจธรรมจากภายนอก เพราะสัจธรรมที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในตัวคุณ ไม่สามารถหาได้จากภายนอก
ขอให้ ทุกท่านค้นพบรอยต่อ ที่เป็นสะพาน เชื่อมโลกภายนอก และโลกภายใน ของตัวเองให้พบนะคะ เพื่อคืนชีวิต สู่ความสมดุลย์
ชีวิต เรียบๆ ง่ายๆ ....ที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ อย่างสง่างาม และมีสติ :)
Kissrain Aey เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์

เหรียญสิบตกเสียงดัง แบงค์พันตกเสียงเงียบ !



rottonara / Pixabay
ช่วงนี้ มีซีรี่ย์เกาหลีเรื่องหนึ่ง ที่พล๊อตเรื่องน่าสนใจมาก ชื่อจำยากๆ ว่า  "38 Task Force" ด้วยความที่ ฉีกแนวไปจาก ซีรีย์เทพนิยาย ฟรุ๊งฟริ๊ง แบบฉบับเกาหลี ตัวนำเเสดงหลัก กลับเป็นเพียงชายหนุ่มนักต้มตุ๋นหนึ่งคน และลุงอ้วนเนิร์ดๆ (ที่คุณจะรัก) หัวหน้าหน่วยงานจัดเก็บภาษี 
นี่คือ หนังแนวอาชญากรรม ขำขัน วายป่วง! หักเหลี่ยมเฉือนคม จนหงายเงิบกันไปหลายตอน ด้วยภารกิจ หาวิธีแยบยล ซ้อนกล หลอกพวกนักธุรกิจชนิดเลว ที่ไม่ยอมจ่ายภาษีของประเทศให้สำเร็จ !
ตัวเรื่อง แสดงให้เห็น ช่องว่างระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน เข้าขั้น ดราม่า นักธุรกิจพันล้าน กลับลอยนวล ด้วยช่องทางการหลบหลีกภาษี มากมาย กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ต้องจ่ายภาษีอย่างหนัก และ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย กลับเป็นชนชั้นแรงงานและพ่อค้าชั้นกลาง
หลังจากดูซีรี่ย์ ไปเกือบครึ่ง (มี 16 ตอนจบ กระชับกำลังดีสำหรับการติดตาม) ฉันย้อนคิดไปถึง คำสอนของ ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ที่มีแง่คิดดี ๆให้เสมอ
คุณปู่ของฉันเอง ที่เรียกท่านว่า ‘อากง
สำหรับฉันแล้ว อากงก็คือ คนแก่แนวๆ คนหนึ่งในยุคนั้น (เป็นขั้นกว่า ของ ผู้ใหญ่แนว และเป็นขั้นสูงสุดของเด็กแนว อีกที!)
อากง เป็นตัวของตัวเอง ไม่เคยคิดตามใคร
ตัดสินใจ ด้วยสัญชาติญาณ
ตั้งแต่ ฉันจำความได้
อากง และ ลูกๆ ( น้องชาย น้องสาวของพ่อ อีก 5 ชีวิต )
ทำธุรกิจมาแล้วหลายอย่าง
ไล่ตั้งแต่ ขายส่งเหล้า เบียร์ ตามร้านอาหาร และ สถานบันเทิง /
ขายข้าวสาร / ขายน้ำตาล / ทำโรงงาน เสื้อผ้าส่งออก / ทำร้านหมูกระทะ /
ซื้ออสังหาริมทรัพย์ เก็งกำไร / ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ /
ทำโรงงานกล่อง และอื่นๆ
ล้มลุกคลุกคลาน กัน สนุกสนาน กับประสบการณ์ที่ไม่มีโรงเรียนที่ไหนเปิดสอน
แต่ภาพพจน์ของอาจารย์ใหญ่ที่นี่ (ก็อากงนั่นล่ะ) ก็คือ อาแปะ แก่ๆ ผอมๆ ผมขาวโพลนทั้งศีรษะ
ใบหน้านิ่งๆ แฝงรอยยิ้มลึกๆ
ทุกๆ วัน จะมีเครื่องแบบใส่ ซ้ำๆ กัน อยู่แบบเดียวคือ เสื้อกล้าม กับ กางเกงสามส่วนแบบสุภาพ (วันไหน ออกนอกบ้าน ก็เพิ่มเชิ๊ตขาวและหมวกอีก 1 ใบ ไม่มากกว่านั้น )
กิจวัตรประจำวันของท่านคือ เปิด TV แบบปิดเสียง! เพราะว่าอากง สนใจดูเฉพาะตัวเลขหุ้น ที่วิ่งเรียงๆกันอยู่ด้านล่างจอภาพ (ในสมัยนั้น ยังไม่มีอินเทอร์เนต  นักลงทุนติดตามตัวเลขหลักทรัพย์เรียลไทม์สุดผ่านทีวี และ ห้องค้า ต่างๆ)
ถึงแม้ อากงจะอ่านภาษาไทยไม่ออกสักนิด เห็นแค่ตัวอักษรอังกฤษ สามสี่ตัว ก็บอกได้แล้วว่าคือธุรกิจอะไร ท่านเลยได้รับยกย่องให้เป็นฐานข้อมูลสำคัญ ของลูกๆ ทุกคน
ฉันเคย ถามกงว่า อากง สนใจอะไรหนักหนาคะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ตัวเลขวิ่งๆ ดูวุ่นวาย ไร้สาระ นอกจาก อากงจะไม่ให้เปลี่ยนไปไหนแล้ว ยังหันมาพูด ด้วยหน้านิ่งๆ อีกประโยคหนึ่ง แปลได้ความว่า
"เหรียญสิบ ตกเสียงดัง / แบงค์พัน ตกเสียงเงียบ"
แล้วก็ ไม่สนใจฉันอีกต่อไป (ถามกลับว่า มันคืออะไร กงก็ไม่ยอมบอก ) ประโยคคนี้ ค้างคาใจฉันมานานนม
...
หลังจากที่ อากงเสียไปแล้วหลายปี ...
ฉัน เข้าสู่ ระบบการทำงาน เต็มรูปแบบ ได้รู้ ได้เห็น อะไรมากขึ้น
คำพูดนี้ ย้อนกลับมาอีกครั้ง
"เหรียญ 10 ตกเสียงดัง / แบงค์พันตกเสียงเงียบ"
เมือ ลองประมวล การใช้ ชีวิตและวิธีคิดของอากง แล้วท่าน คงต้องการจะบอกว่า...
"ถ้าคิดจะทำธุรกิจใหญ่โต ไม่ต้องคุยโวโอ้อวด ให้เป็นเหมือนแบงค์พัน ที่มีค่า แต่ไม่ส่งเสียง "

และอีกอย่าง
จากที่อากง แสดงให้เห็นมาตลอดชีวิต ก็คือ...
ไม่ต้องไปเสียดาย กับ เงินทอง หรือ สิ่งของอะไรก็ตามที่เราให้กับผู้อื่นโดยเฉพาะ กับลูกน้อง
แต่ ให้ระวัง เรื่อง "ค่าโง่" จากความ ไม่รู้กับ "ค่านิยม" ปลอมๆ ที่มักแฝงตัวมาเงียบๆ แต่เราต้องจ่ายให้มัน ราคาแพงนักหนา (ถ้าอยากรู้ว่า กลลวงที่แฝงมา มีอะไรบ้าง ก็ดูได้จาก ซีรี่ย์เรื่อง 38 task foce ได้เลยค่ะ ส่วนใหญ่แล้ว ก็คือการเล่นกับความโลภของคนนั่นเอง)
ก็อย่างว่าล่ะ...
ข้าวของ เงินทอง นั้น มักส่ง เสียงดัง เพราะเราเห็นด้วยตา
แต่ความรู้สึกต่างๆ ของคนนั้น สัมผัสได้เพียงแผ่วเบา
ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่ากันมากมายนัก

อากง ท่านสอนไว้ค่ะ :)
ก่อนจบบทนี้ ขอฝากคำสอน ของคนรุ่นก่อนไว้ดังนี้
คนจีน มี 5 คำสอน ที่พร่ำบอกต่อลูกหลานว่า ไม่ควรพูด
  1. "ยาก"  难 พอพูดคำว่ายาก จะเป็นการบล็อคความสามารถทันที
  2. "ทำไม่ได้"  不会做 จะเป็นการขับไล่ตัวจากสิ่งที่ทำ หรือปิดกั้นการเรียนรู้
  3. "ท้อ"  灰心 เพราะเพียงคำนี้ผุดขึ้น พลังทั้งมวลทั้งร่างกายและจิตใจจะถดถอยสูญสิ้น
  4. "ขี้เกียจ" 蓝 ไม่ควรแม้แต่พูดเล่น เพราะจะทำให้สร้างความไม่รับผิดชอบ
  5. "เหนื่อย" 累 พอพูดคำนี้ออกมา ร่างกายก็จะตอบสนองด้วยการอ่อนแอลงทันที
    สุดท้ายนี้ ต้องขอบคุณ ซีรี่ย์คุณภาพ คับคั่งความบันเทิง
ที่ชื่อ "38 Task Force" ที่ทำให้ หวนนึกถึงคำสอนดีๆ จากอากง
ปล. บทความนี้ไม่มีสปอย นะคะ ติดตามดูกันเองนะ รับรอง สนุก !

เรนันท์ สุทธิสว่างวงศ์

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559